หลวงพ่อสังข์ วัดน้ำเต้า
หลวงพ่อสังข์ วัดน้ำเต้า หรือ พระครูอุดมสมาจาร เป็นพระเกจิอาจารย์ ที่หลวงปู่ทิม วัดพระขาว นับถือมาก หลวงปู่ทิม
ท่านไปศึกษาวิชากับคณาจารย์หลายรูป อาทิ หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ หลวงพ่อจง
วัดหน้าต่างนอก แต่ที่ท่านนับถือที่สุด คือ หลวงพ่อสังข์ วัดน้ำเต้า
หลวงพ่อสังข์ วัดน้ำเต้า |
ท่านมักบอกว่า หลวงพ่อสังข์ " อาจารย์ฉัน รูปนี้เก่งมาก "
หลวงปู่ทิม วัดพระขาว นับถือหลวงพ่อสังข์มาก
ถึงขนาดที่ว่า ท่านเคยเล่าว่า เคยขอน้ำลายหลวงพ่อสังข์ ให้หลวงพ่อสังข์เอาน้ำลายมาลงที่กระหม่อมท่าน ท่านว่าถือเป็นมงคลมาก ของครูบาอาจารย์
นอกจากนี้เหรียญรุ่นแรก ปี 18 ของท่าน
ท่านยังไปขอความเมตตาให้หลวงพ่อสังข์ เสกให้เพิ่มเติม
หลวงพ่อสังข์ ท่านบวชร่ำเรียนวิชาตั้งแต่เป็นสามเณร โดยมีพระเกจิชั้นบรมครู แห่งท้องทุ่งบางบาล
" หลวงพ่อปั้น
วัดพิกุลโสคันธ์ "
พระเกจิผู้สำเร็จอภิญญาบารมีชั้นสูง มีวาจาสิทธิ์
ที่แม้แต่หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลวงพ่อห่วง วัดบางยี่โท ยังต้องมาฝากตัวเป็นศิษย์เช่นกัน
( หลวงพ่อปั้น เป็นเพื่อนกับ หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ ทั้ง 2 รูป คือ หลวงพ่อปั้น กับ หลวงพ่อสุ่น ถือเป็น สุดยอดของปรมาจารย์ พระเกจิอาจารย์ ของสายบางบาล )
หลวงพ่อปั้น เป็นผู้บวชเณรให้หลวงพ่อสังข์ โดยสามเณรสังข์ ( ในสมัยนั้น ) ได้อยู่รับใช้ใกล้ชิด ไปมาหาสู่กับ กับหลวงพ่อปั้น โดย สามเณรสังข์ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดขวิด ซึ่งอยู่ในละแวกเดียวกันนั้นเอง
( หลวงพ่อปั้น เป็นเพื่อนกับ หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ ทั้ง 2 รูป คือ หลวงพ่อปั้น กับ หลวงพ่อสุ่น ถือเป็น สุดยอดของปรมาจารย์ พระเกจิอาจารย์ ของสายบางบาล )
หลวงพ่อปั้น เป็นผู้บวชเณรให้หลวงพ่อสังข์ โดยสามเณรสังข์ ( ในสมัยนั้น ) ได้อยู่รับใช้ใกล้ชิด ไปมาหาสู่กับ กับหลวงพ่อปั้น โดย สามเณรสังข์ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดขวิด ซึ่งอยู่ในละแวกเดียวกันนั้นเอง
มีเรื่องเล่าขานกันว่า
ครั้งหนึ่งในขณะที่หลวงพ่อยังเป็นสามเณรน้อย ได้เกิดไฟไหม้ป่าขึ้น
ไฟป่าได้ไหม้ตรงเข้ามาจะถึงกระท่อมที่สามเณรสังข์ จำพรรษา
ชาวบ้านแตกตื่นกันมากเพราะกลัวว่าสามเณรสังข์ จะได้รับอันตราย
และด้วยเปลวไฟก็ร้อนแรงมากเนื่องจากบริเวณนั้นเป็นป่าไผ่
ทำให้ไม่สามารถเข้าไปช่วยอะไรได้
จึงได้แต่ร้องตะโกนบอกให้สามเณรสังข์ หนีออกมา
ในขณะที่ไฟได้ไหม้จนถึงกุฎิสามเณรสังข์ ได้เกิดเหตุการณ์มหัศจรรย์คือเกิดลมหวนขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนและดับไฟลงได้
ด้วยความแปลกใจชาวบ้านได้ถามสามเณรสังข์ ว่า
ไฟไหม้น่าจะเป็นอันตรายแบบนี้สามเณรสังข์ ไม่กลัวไฟหรือสามเณรสังข์ มีอะไรดีสามเณรสังข์ ได้ตอบว่า…
“ฉันได้ถวายชีวิตแก่พระพุทธเจ้า
พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้าแล้ว เมื่อจะเป็นอันตรายอย่างไร
คุณพระท่านก็คงช่วยเหลือไม่ให้ได้รับอันตราย...”
และตอนนั้นสามเณรสังข์ พอจะหนีได้
ทำไมไม่หนีออกมาล่ะ....ท่านตอบว่า
“ฉันก็นั่งเจริญภาวนาระลึกถึงพระพุทธคุณอยู่
ก็คงเป็นด้วยคุณพระคุ้มครอง ไฟจึงไม่ไหม้มาถึงกระท่อม”
เนื่องจากป่าช้าของวัดขวิดเป็นป่าช้าเก่า ที่มีศพฝังอยู่หลายศพและคงด้วยความเป็นที่นิยมของชาวบ้าน
ป่าช้าวัดขวิดแห่งนี้จึงเป็นที่รองรับของบรรดาศพใหม่ๆ ที่มีทยอยเข้ามากันเรื่อยๆ
ว่ากันว่าแม้แต่ตอนกลางวันนกยังไม่กล้าบินผ่านเลยครับ
นี่....ชาวบ้านเขาว่าเฮี้ยนกันขนาดนี้
แต่ว่าความเฮี้ยนนี้จะส่งผลให้หลวงพ่อสังข์ท่านเจอมิตรรักต่างมิติหรือเปล่าผมเองก็ไม่อาจทราบได้
ทราบเพียงแต่ว่าในกาลเวลาต่อมาสามเณรสังข์
สามารถเอาโลงศพเปล่าๆมาเรียงเพื่อรองนั่งได้
ครั้นต่อมาพอชาวบ้านทราบว่าสามเณรสังข์สามารถเข้าไปปฏิบัติกัมมัฏฐานอยู่ในป่าช้าได้
ก็เกิดความศรัทธาจึงพากันมาปลูกกระท่อมหลังน้อยให้สามเณรสังข์จำพรรษา..กระท่อมน้อยหลังนี้แหละครับคือที่มาของ
”เรื่องราวมหัศจรรย์ไฟไหม้ป่า”
หลวงพ่อสังข์ ท่านกล่าวว่า
“เราหมดความกลัวผีไปแล้ว
เพราะมาฉุกคิดได้ว่า ทั้งเราทั้งเขาต่อไปก็จะต้องเป็นอย่างนี้เช่นกันทั้งนั้น....”
สมัยก่อนชาวบ้านมักนิยมนิมนต์ให้พระสงฆ์ชักผ้ามหาบังสุกุลที่ศพในป่าช้า
จึงไม่แปลกครับที่สามเณรสังข์เจ้าของสัมปทานป่าช้าจะถูกนิมนต์ให้ไปชักผ้ามหาบังสุกุลอยู่บ่อยๆ
ครั้งหนึ่งพระครูปุ้ย
เจ้าอาวาสวัดขวิด (เป็นพระยุคเก่า ที่ชาวบ้านแถบนี้นับถือกันมาก) เอาน้ำล้างจานข้าวที่ฉันแล้วเทราดลงบนศรีษะของสามเณรสังข์
ซึ่งขณะนั้นสามเณรสังข์ท่านกำลังนั่งฉันอาหารอยู่บนศาลาที่กำลังมีญาติโยมร่วมทำบุญเพราะเป็นวันพระ
แต่สามเณรสังข์ท่านก็ยังนั่งฉันไปตามปกติ ไม่ได้แสดงอาการโกรธเคืองอะไรเลย...
ซึ่งพระครูปุ้ย
ท่านมาเฉลยภายหลังว่าสาเหตุที่ท่านเทน้ำล้างจานข้าวลงบนศรีษะสามเณรสังข์นั้น
"เพื่อจะลองใจสามเณรน้อย ดูว่าสามารถปฏิบัติกัมมัฏฐาน จนสามารถเอาชนะความโกรธ
อำนาจแห่งกิเลสได้หรือยัง"
เล่าลือกันว่าจากเหตุการณ์นั้น คะแนนเสียงของความศรัทธาจากชาวบ้านต่างเทลงที่สามเณรน้อย ล้นหลามเลยทีเดียว.... เป็นแค่สามเณรน้อย แต่กลับได้รับความนับถือ ศรัทธา จากชาวบ้านบางบาล ในแถบนี้อย่างมากมายเหลือล้น
และด้วยกิจวัตรของสามเณรสังข์ที่เคร่งครัดอยู่ในศีลธรรมกรรมฐานเช่นนี้เอง
ความได้ทราบไปถึง
" หลวงพ่อปั้น วัดพิกุลโสกัณฑ์ " อยู่เสมอๆ จนหลวงพ่อปั้น ถึงกับเอ่ยปาก ทำนายว่า...
" หลวงพ่อปั้น วัดพิกุลโสกัณฑ์ " อยู่เสมอๆ จนหลวงพ่อปั้น ถึงกับเอ่ยปาก ทำนายว่า...
ในระหว่างนั้น สามเณรสังข์ ท่านก็ได้ไปมาหาสู่ ปฏิบัติอุปัชฌาย์อาจารย์เสมอๆ
ทำให้หลวงพ่อปั้นมีความรักและเมตตากับสามเณรสังข์มาก
จึงได้ถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆให้กับสามเณรสังข์เป็นอันมาก
สามเณรสังข์ ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่ออายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ในวันที่ ๑
มกราคม ๒๔๕๗ ณ พันธสีมาวัดขวิด
โดยมี หลวงพ่อลับ วัดบันไดช้าง อำเภอเสนา เป็นพระอุปัชฌาย์
หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อำเภอบางไทร เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระครูปุ้ย วัดขวิด อำเภอบางบาล เป็นพระอนุสาวนาจารย์
ได้รับฉายาว่า “ปุญญสิริ”
โดยมี หลวงพ่อลับ วัดบันไดช้าง อำเภอเสนา เป็นพระอุปัชฌาย์
หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อำเภอบางไทร เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระครูปุ้ย วัดขวิด อำเภอบางบาล เป็นพระอนุสาวนาจารย์
ได้รับฉายาว่า “ปุญญสิริ”
ในตอนที่ หลวงพ่อสังข์ ท่านอุปสมบท หลวงพ่อจง
วัดหน้าต่างนอก ท่านมาเป็นเป็นพระกรรมวาจาจารย์ให้ มีอยู่ตอนหนึ่งหลวงพ่อจง
ท่านแกล้งสวดญัตติพลาดไปวรรคหนึ่ง
ซึ่งเรื่องของการสวดญัตตินั้นตามหลักการถือว่าต้องสวดให้ถูกต้องจะผิดแม้วรรคหนึ่งวรรคใดก็ไม่ได้
เพราะการสวดผิดจะทำให้สังฆกรรมนั้นใช้ไม่ได้ ดังนั้น
พระสังข์จึงขอให้หลวงพ่อจงสวดญัตติให้ใหม่อีกครั้ง
หลวงพ่อจงท่านยิ้ม
เพราะท่านได้รับทราบกิตติศัพท์ความเคร่งครัดปฏิบัติของหลวงพ่อสังข์
มาเป็นอย่างดีอยู่แล้ว (ซึ่งหลวงพ่อจง ถือเป็นศิษย์พี่ ของหลวงพ่อสังข์ เพราะเคยมาเรียนวิชา กับหลวงพ่อปั้น ซึ่งสมัยนั้น หลวงพ่อสังข์ ยังเป็นสามเณร )
และเมื่อท่านได้มองเห็นชุดผ้าไตรจีวรที่หลวงพ่อสังข์ได้ตัดเย็บและย้อมเองตามหลักของพระวินัย
ทำให้ท่านเกิดความประทับใจในตัวของหลวงพ่อสังข์
ท่านจึงได้เปลื้องผ้าสังฆาฏิของท่านถวายแก่หลวงพ่อสังข์และได้บอกกับทุกคนที่อยู่ในที่นั้นว่า....
“ต่อไปคุณสังข์จะเป็นพระที่มั่นคงอยู่ในพระพุทธศาสนาอีกรูปหนึ่ง”
หลังจากอุปสมบทเป็นพระ ก็ได้ไปขอศึกษาวิชากับ
หลวงพ่อลับ วัดบันไดช้าง พระอุปัชฌาย์ พระเกจิอาจารย์ชั้นครู มากวิทยาคมอีกรูป (องค์นี้
เป็นพระเกจิรุ่นเก่าแถบเสนา ยุคเดียวกับบรมครู หลวงปู่จีน วัดเจ้าเจ็ดใน หลวงพ่อลับ ท่านสร้างเหรียญไว้ ปัจจุบันถือเป็นเหรียญที่หายากมาก )
หลวงพ่อลับ วัดบันไดช้าง เกจิชั้นครู แห่งเสนา ยุคเก่า |
เมื่อวันเวลาผ่านไป พระเกจิยุคเก่าล้มหายตายจากไป พระเกจิยุคใหม่ก็ขึ้นมา จากสามเณรน้อยสังข์ สู่หลวงพ่อสังข์ ชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วอยุธยา จากลูกศิษย์ กลายเป็นอาจารย์
มีพระสงฆ์มากมายในเขตบางบาลรุ่นต่อๆมา เข้ามาขอศึกษาวิชา มาขึ้นกรรมฐานจากท่าน ไม่ว่าจะเป็น.......
หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา |
หลวงพ่อเอียด วัดไผ่ล้อม |
หลวงพ่อล้วน วัดพิกุลโสคันธ์ |
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง (ซึ่งขณะนั่นจำพรรษาอยู่ที่ วัดบางนมโค เสนา และได้มีโอกาสมาศึกษาวิชากรรมฐาน กับ หลวพ่อสังข์ ) |
หลวงพ่อสังข์ เป็นพระที่มีพระจิต สูงมาก
เพราะท่านเชียวชาญวิชากรรมฐาน จนพระเกจิ ทั้งบางบาลอยุธยา
ต้องมาขึ้นกรรมฐานกับท่าน
นอกจากนี้หลวงพ่อสังข์เอง ก็ยังได้สร้างวัตถุมงคล เอาไว้มากมาย ทั้งพระเหรียญ พระผง มีคุณวิเศษอย่างยิ่งในด้านของแคล้วคลาด คงกระพัน เป็นอย่างยิ่ง เป็นพระเกจิอาจารย์ ยุคเก่าอีกรูปที่ชาวบ้าน ต่างนับถือท่านมาก...........
“ของดีๆ แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจก็คือธรรมะ
คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นำไปใช้เถอะได้ผลแน่
ขอแต่ให้ปฏิบัติอย่างจริงใจเท่านั้นแหละ
ย่อมได้ผลคือความสุขกาย สบายใจได้ดีกว่าไปอาศัยเครื่องรางของขลังเหล่านั้น....”