วันจันทร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2560

อ.โสมทัต แก้ของ ให้คุณประธาน ให้ทันก่อนวันสั่งตาย

คุณประธาน ดวงรัตน์ เป็นอดีตนายกสมาคมสภาทนายความแห่งประเทศไทย มีผลงานมากมายในทางกฎหมายอันเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง ซึ่งตลอดเวลาที่ท่านทำงานก็ไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสียหรือบาดหมางกับใคร แต่สาเหตุที่เกิดขึ้นนี้ก็คงไม่ต่างจากที่นายแพทย์สำนวน บัวพิมพ์ ได้เจอ คือ เกิดจาก "ความริษยา"

เพราะในทันทีที่คุณประธานได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกสมาคมสภาทนายความแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2522 ได้ประมาณ 1 อาทิตย์เท่านั้น คุณประธานก็เกิดมีอาการปวดช่องท้องทางซ้ายอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ความเจ็บปวดนั้นมิได้มีอยู่แต่เฉพาะตรงช่วงท้อง หากยังแผ่ขยายขึ้นมาจนถึงหัวใจราวกับมีอะไรมาบีบรัดหรือทิ่มแทงเนื้อหัวใจอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวหรือเผลอเปลี่ยนแปลงอิริยาบถอย่างกะทันหันก็จะเจ็บปวดสาหัสขึ้นทันที

เมื่อมีอาการมากเข้า คุณประธานก็ไปพบนายแพทย์ ดร.นิพนธ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพ เพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใด ๆ ทว่าเมื่อคนไข้มีอาการเจ็บปวดหมอก็เลยต้องสั่งจ่ายยารักษาการอักเสบของกล้ามเนื้อมาให้รับประทานแล้วคอยสังเกตอาการกันต่อไป

ต่อมาอาการที่เหมือนมีอะไรมาทิ่มแทงบีบรัดหัวใจได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงกับทำให้คุณประธานนอนราบลงในท่าต่าง ๆ ไม่ได้เลย ต้องพักผ่อนด้วยการใช้หมอนลูกใหญ่รองที่หน้าขาแล้วนั่งฟุบหน้าลงกับหมอนเพื่อหลับ เป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก

เหตุการณ์ทรมานเช่นนี้เป็นมาอยู่สักระยะหนึ่ง ก็มีเพื่อนสนิทมาชวนไปรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน ขณะที่ทานไปคุยไปนั้นก็วกมาถึงเรื่องที่คุณประธานเจ็บปวดช่องท้องและเสียวแปลบที่หัวใจ เพื่อนคนนั้นก็แนะนำว่าทำไมไม่ลองไปรักษาในทางไสยศาสตร์ดูบ้างเผื่อว่าจะหาย ว่าแล้วก็พาคุณประธานไปพบกับอาจารย์ไสยศาสตร์ชื่อดังในทันที ซึ่งก็คือ


"อาจารย์โสมทัต เขมจารี"


ทันทีที่อาจารย์โสมทัตเห็นหน้าคุณประธาน ดวงรัตน์ ท่านก็บอกได้ทันทีว่าคุณประธาน "ถูกของ" เข้าแล้ว มิหนำซ้ำ "ของ" ที่ใครคนนั้นส่งมายังรุนแรงถึงขนาดจะเอาชีวิตกันในเวลาอันสั้น และแรงอย่างที่ป้องกันไม่ให้ใครแก้ได้ ทำให้อาจารย์โสมทัตถึงกับอุทานหลังจากพิจารณาแล้วว่า 

"นี่เขาเล่นกันรุนแรงถึงเพียงนี้เชียวหรือ ! ทำไมถึงใจคอโหดร้ายขนาดนี้"

อาจารย์โสมทัตจึงลงมือทำน้ำมนต์ถอนของในทันที แล้วจัดการอาบให้นายกสภาทนายความโดยฉับพลัน เมื่ออาบไปได้เพียงครู่เดียว ก็เกิดสิ่งอัศจรรย์ขึ้น คือมีตะปูตัวหนึ่งผุดทะลุหนังคุณประธานออกมาจากทางสีข้างด้านซ้ายหนึ่งตัว ทว่าอาจารย์โสมทัตก็ยังคงรดน้ำมนต์ต่อเนื่องไปอีก ไม่นานนักตะปูตัวที่สองก็โผล่ออกมาอีก ตลอดเวลาที่ตะปูแทงเนื้อออกมานั้น คุณประธานส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดแบบไม่ต้องอายใคร เพราะมันทรมานเหลือจะพรรณนา ก็ไม่รู้ว่าเพราะเสียงร้องของคุณประธานหรือเพราะเหตุใด อาจารย์โสมทัตได้หยุดอาบน้ำมนต์แล้วสั่งว่าวันพรุ่งนี้ให้มารักษาอีกเพื่อเอา "ของ" ที่เหลืออยู่ออกให้หมดสิ้น

ทว่าวันที่อาจารย์โสมทัตนัดนั้นเป็นวันเสาร์ ซึ่งเป็นวันที่คุณประธาน ดวงรัตน์ มีนัดสำคัญคือการเลี้ยงฉลองที่ได้รับตำแหน่งนายกสมาคมสภาทนายความแห่งประเทศไทย คุณประธานจึงขออนุญาตอาจารย์เลื่อนมาเป็นวันอาทิตย์แทน

 ซึ่งอาจารย์โสมทัตก็ตอบตกลงแต่ กำชับว่าให้มาให้ได้และให้มาแต่เช้าตรู่ เพราะผู้ที่ส่งคุณไสยมาเข้าตัวนั้นได้กำหนดวันตายให้คุณประธานไว้แล้วคือ วันพุธที่จะมาถึงนี้ จึงจำเป็นที่จะต้องกำจัดในตัวออกให้หมดก่อนจะถึงวันสั่ง คุณประธาน ได้ยินแล้วก็หัวใจหวิว รีบรับปากอย่างแข็งขันทันที

เมื่อนายกสภาทนายความกลับมาถึงบ้าน ก็พยายามรำลึกความว่าก่อนที่จะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น แก่ตนนั้นตนได้ทำอะไรไปบ้าง นึกอยู่นานก็คิดได้ว่าหลังจากที่ได้รับเลือกให้เป็นนายกสมาคมสภาทนายความฯ ได้ไม่กี่วัน 

วันหนึ่งกลับจากทำงานมาก็ถอดสร้อยพระเครื่องออกแขวนไว้แล้วไปอาบน้ำ จากนั้นก็ลืมเรื่องสายสร้อยไปอย่างสนิท จึงมิได้สวมสร้อยห้อยพระอีกเลย ต่อมาประมาณ 2 ทุ่มของวันเดียวกัน คุณประธานจะออกไปสะสางงานที่ค้างไว้ให้เสร็จที่สำนักงานของตนเองซึ่งอยู่ในบริเวณรั้วบ้านเดียวกัน

 ขณะที่กำลังก้าวเดินออกไปนั้นก็ได้ยินเสียงวัตถุวิ่งแหวกอากาศมาอย่างรวดเร็วแล้วกระทบเข้ากับหลังคาบ้านซึ่งอยู่เหนือศีรษะพอดีดังเปรี๊ยะ

คุณประธานจึงแหงนขึ้นมองอย่างสงสัยแล้ว เผลอพูดออกไปว่า

"อะไรกันวะ ?"
( คนโบราณห้ามทัก )

เมื่อมองหาสิ่งผิดปกติแล้วไม่พบอะไรก็เลิกให้ความสนใจ ทว่านับตั้งแต่วันนั้นมาก็เกิดอาการผิดปกติขึ้นกับร่างกายดังกล่าว

พอถึงวันอาทิตย์ที่นัดหมายไว้ คุณประธานก็เดินทางมาพบอาจารย์โสมทัตที่สำนักแต่เช้าโดยมีเพื่อน ๆ ที่เป็นทนายความด้วยกันติดตามมาขอดูเหตุการณ์ด้วยอีก 6 คน ในจำนวนนี้มีคุณแฉล้ม ยุวบูรณ์ ภรรยาของ คุณอนันต์ ยุวบูรณ์ มาด้วย

วันนี้ท่าจะเป็นวันสำคัญชี้เป็นชี้ตายจริง ๆ เพราะเห็นอาจารย์โสมทัตตั้งพิธีอย่างยิ่งใหญ่ดูท่าแล้วจะเป็นวาระที่สำคัญมาก เมื่อทุกอย่างพร้อมอาจารย์ก็เอาน้ำมันมนต์มาทาที่ลำตัวด้านซ้ายของคุณประธาน จากนั้นก็ใช้ปูนแดงเสกวงที่สีข้างวงหนึ่ง ที่ด้านหลังวงหนึ่ง และที่หน้าอกอีกวงหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มสาธยายมนตรา



ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ก็เกิดสิ่งอัศจรรย์ ในวงปูนที่วาดไว้เป็นดวงกลมปรากฏมีหัวตะปูขนาดใหญ่ค่อย ๆ แทงทะลุเนื้อออกมา อาจารย์จึงสั่งให้คนที่อยู่ใกล้ที่สุดจับแล้วดึงออกมาตรง ๆ สร้างความเจ็บปวดให้คุณประธานเป็นอย่างยิ่งเพราะตะปูถูกยึดติดแน่นเหมือนมีแรงดึงดูดลึกลับทำให้ดึงออกมาได้ยากมาก กว่าจะหลุดได้แต่ละตัวเล่นเอาคุณประธานถึงกับเจ็บปวดสาหัส

ซึ่งตะปูดังกล่าวได้โผล่ออกมาในวงปูนเสกที่วาดไว้สามตำแหน่งวงละหนึ่งตัวรวมเป็น 3 ตัว ทั้งทนายความที่มาด้วย ทั้งคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์อย่างตื่นเต้นว่าตะปูยาวขนาดนี้เข้าไปอยู่ในร่างกายได้อย่างไรตั้งสามตัว และออกมาเองได้อย่างไรโดยไม่ต้องผ่าตัด

แต่คงเป็นเพราะความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในระหว่างการถอนของ อาจารย์จึงนัดให้คุณประธานมาทำการรักษาอีกครั้งในวันรุ่งขึ้นซึ่งก็คือ วันจันทร์



วันจันทร์แม้คุณประธานจะมีคดีสำคัญที่ต้องไปว่าความ แต่ก็รีบไปศาลแต่เช้าแล้วแจ้งแก่ศาลว่าตนเองไม่สบายขอผ่อนผันเลื่อนการพิจารณาออกไปวันอื่น ศาลเห็นคุณประธานหน้าตาซีดเซียวราวคนป่วยหนักจึงอนุญาตให้เป็นไปตามที่ขอ จากนั้นคุณประธานก็รีบกลับลงมาเพื่อขึ้นรถ ขณะที่ยืนรอคนขับรถเอารถมารับ ก็ได้พบกับคุณพิสิทธิ์ เทศะบำรุง อธิบดีผู้พิพากษากรมบังคับคดี กับ คุณชาญ แก้วชูสาย อดีตรองหัวหน้าพรรคกิจสังคม ทั้งสองท่านได้แวะทักทายคุณประธาน 

เมื่อทราบว่าคุณประธานกำลังจะเดินทางไปที่สำนักของอาจารย์โสมทัตเพื่อรักษาคุณไสย ทั้งสองท่านจึงขอติดตามไปชมเหตุการณ์ด้วย คุณประธานก็ตกลง เมื่อมาถึงสำนักของอาจารย์แล้วไม่นานนัก ท่านก็เริ่มทำการรักษาคุณประธานเหมือนเช่นเคย ซึ่งวันนี้สามารถเรียกตะปูออกมาได้ถึง 6 ตัว ตลอดเวลาที่ประกอบพิธี คุณชาญและท่านอธิบดีพิสิทธิ์จ้องมองด้วยความตื่นตะลึง นึกไม่ถึงว่าในชีวิตจะได้พานพบเรื่องราวอัศจรรย์ต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ อาจารย์โสมทัตจึงบอกว่า "ใครอยากจะดูหรืออยากจะดึงก็เข้ามาใกล้ ๆ" 

ทั้งสองท่านจึงเผ่นผึงเดียวถึงตัวคุณประธาน ทั้งที่ใจท่านอธิบดีพิสิทธิ์นั้นอยากลองดึงตะปูอาถรรพณ์เป็นกำลัง แต่เกรงว่าตนเองจะมีกำลังไม่พอจึงบอกให้คนขับรถของคุณประธานเป็นคนดึง เมื่อคนขับรถซึ่งเป็นหนุ่มฉกรรจ์ออกแรงดึงเต็มที่ ตัวคุณประธานเองก็เซไปตามแรงดึงพร้อมกับร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวดเป็นที่สุด แต่แทนที่ตะปูจะหลุดตามมือออกมากลับกลายเป็นนิ้วพลขับลื่นหลุดออกจากตะปูเสียเอง ทนายความที่มาด้วยจึงโดดเข้าไปแทนที่แล้วพยายามดึงตะปูสนิมเขรอะนั้นออกมาจนได้ ตัวแล้ว ตัวเล่า กว่าจะดึงออกมาได้แต่ละตัวเล่นเอาคนดึงสะบักสะบอม เพราะแม้คุณประธานจะเจ็บปวดเพียงใดแต่ทันทีที่ตะปูหลุดออกจากผิวหนังไปแล้วก็เหมือนกับว่ามันเอาความเจ็บปวดทั้งหลายออกไปด้วยกัน


 แม้จะได้ตะปูออกมาหลายตัวจนดีใจว่าคงจะหมดแล้ว แต่อาจารย์โสมทัตก็พูดเสียงเครียดว่า "อ้ายตัวสำคัญตัวสุดท้ายอาคมมันแข็ง ไม่ยอมออกมาง่าย ๆ แต่มันก็อยู่ไม่ได้ต้องออกมาในวันนี้ตอนพระอาทิตย์ตกดิน" แม้ท่านอธิบดีพิสิทธิ์ เทศะบำรุง และคุณชาญ แก้วชูสาย จะอยากอยู่ดูช่วงเวลาสำคัญมากเพียงใด แต่ก็ติดว่ามีธุระสำคัญที่ต้องไปจัดการให้เรียบร้อยก่อนเวลาเย็นจึงไม่อาจอยู่จนถึงนาทีสำคัญได้ต้องกราบลาอาจารย์โสมทัตไปอย่างเสียดาย ต่อมาในเวลา 16.20 น. จู่ ๆ อาจารย์โสมทัตก็ร้องออกมาว่า
 "มันกำลังจะออกมาอีกแล้ว" 

คุณเอกวิทย์ ทนายความร่วมสำนักงานเดียวกับได้รีบรุดเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็เห็นด้ายสายสิญจน์อันเป็นด้ายดิบชนิดเดียวกับที่สัปเหร่อใช้มัดตราสังศพแทงทะลุเนื้อคุณประธานออกมาตรงแผ่นหลังด้านซ้ายอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะสายสิญจน์เป็นวัตถุที่นิ่ม และเบามาก ไม่สามารถใช้แทงทะลุวัตถุสิ่งใด ๆ ได้เลย แต่บัดนี้วิทยาศาสตร์ก็หมดหนทางอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าคุณเอกวิทย์เสียแล้ว เพราะนอกจากด้ายดิบที่โผล่ออกจากเนื้อมนุษย์ได้ด้วยตัวมันเองแล้ว มันยังมีอาการเคลื่อนไหวแกว่งไกวช้า ๆ อยู่ไปมาราวกับมันมีชีวิตเป็นของตนเอง และเมื่อสำแดงภาพสยองได้สักพักมันก็ทำท่าจะมุดกลับลงไปในเนื้อคุณประธาน ถึงตอนนี้อาจารย์โสมทัตก็ร้องสั่งการเสียงดังว่า "ดึงด้ายออกมาเร็ว ๆ" 

แล้วก็เร่งท่องพระเวทรัวเร็วเหมือนจะสะกดด้ายตราสังนั้นให้อยู่กับที่ คุณเอกวิทย์จึงรีบคว้าปลายด้ายเอาไว้แน่นแล้วออกแรงดึงอย่างแรง ทำให้คุณประธานถึงกับร้องออกมาอย่างโหยหวน พอคุณเอกวิทย์เห็นคุณประธานร้องอย่างนั้นก็อยากให้ความเจ็บปวดยุติลงโดยเร็วจึงออกแรงดึงด้ายอาถรรพณ์นั้นสุดแรงเกิดเป็นผลให้ด้ายสายสิญจน์นั้นถึงกับขาดออกจากกัน แล้วภาพสยองก็ปรากฏขึ้นอีก

เมื่อสายสิญจน์ส่วนที่ขาดซึ่งอยู่นอกเนื้อคุณประธานทำอาการดิ้นกระดุกกระดิกราวกับหางจิ้งจกแล้วทำท่ามุดกลับลงไปในเนื้ออีกครั้ง คุณเอกวิทย์แม้จะรู้สึกตื่นกลัวกับภาพตรงหน้าแต่ก็ยังมีสติที่จะเผ่นเข้าไปคว้าด้ายตราสังส่วนนั้นไว้แน่น




อาจารย์โสมทัต บอก ทนายเอกวิทย์ ว่า ให้ค่อย ๆ ดึง อย่าดึงแรงอย่างกระชากมันจะขาด เพราะสายสิญจน์มันเปื่อย ถ้าขาดแล้วมันหดหนีกลับเข้าไปในตัวคนป่วยอีก คราวนี้จะเรียกออกมายากมาก คุณเอกวิทย์ก็เข้าใจแล้วค่อย ๆ ทำตามที่อาจารย์บอก ในที่สุดก็สามารถดึงด้ายตราสังนั้นออกมาจนหมด ด้ายทั้งเส้นรวมส่วนที่ขาดติดมือออกมาก่อนหน้านั้นมีความยาวราว 2 เมตรและมีกลิ่นศพเหม็นเน่าอย่างรุนแรงคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ



น่ามหัศจรรย์ที่สุดว่า ทันทีที่ด้ายตราสังผีตายโหงเส้นนี้หลุดออกจากร่างกายคุณประธาน อาการปวดแปลบ เจ็บเสียวที่หัวใจเหมือนมีอะไรมาทิ่มแทงบีบรัดมานานก็พลันหายไปเป็นปลิดทิ้ง รู้สึกถึงความปลอดโปร่งโล่งอก หายใจสบายได้เต็มปอดอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน แหละแม้คุณประธานจะรู้สึกสบายอย่างนั้น อาจารย์โสมทัตก็ยังบอกว่า

"อ้ายตัวสำคัญยังไม่ออก แต่มันจะต้องออกในเวลาพระอาทิตย์ตกดินวันนี้แน่"

ครั้นถึงเวลาโพล้เพล้ อาจารย์ก็เรียกคุณประธานให้มาอาบน้ำมนต์อีกครั้ง พร้อมกับสั่งให้คุณประธานนั่งเหยียดขาออกไปตรง ๆ คุณประธานเป็นคนรูปร่างอ้วนจึงไม่สามารถเหยียดขาได้ตามสั่ง อาจารย์ต้องเรียกศิษย์สองคนให้มาช่วยกันจับขาดึงให้ตรงจนได้ จากนั้น ท่านก็ใช้พระขรรค์สามเล่มปักลงบนดินข้างตัวผู้ป่วยทั้งด้านซ้าย ด้านขวา และทางปลายเท้า จากนั้นก็เริ่มอาบน้ำมนต์พร้อมกับร่ายพระเวท

ผ่านไปครู่ใหญ่อาจารย์ก็ขึ้นไปยืนบนม้าหินติด ๆ กับคุณประธานเพื่อรดน้ำมนต์จากที่สูงมาก ๆ ลงมาและเร่งบริกรรมภาวนาเสียงดังยิ่งกว่าเดิม เป็นเวลาพอสมควรกว่าที่ท่านจะกลับลงมายืนที่พื้นแล้วบอกให้ทนายความที่เหลือคอยสังเกตดูตรงฝ่าเท้า ทุกคนก็กรูเกรียวกันไปดูที่ฝ่าเท้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ไม่ถึงนาที ทุกคนก็ร้องเอะอะด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นตะปูดอกหนึ่งแทงทะลุออกมาจากฝ่าเท้าขวาของคุณประธาน อาจารย์ก็สั่งให้ดึงตะปูออก ไม่ว่าใครจะดึงอย่างไร ก็ไม่น่าเชื่อว่าตะปูตัวเล็กแค่นี้จะติดตรึงอยู่กับฝ่าเท้าราวกับตอกไว้กับต้นสักใหญ่ จะผลัดกันกี่คน ๆ ก็ไม่สำเร็จ และในระหว่างที่ทุกคนพยายามดึงกันสุดแรงอยู่นั้น คุณประธานก็ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดจนที่สุดทนไม่ได้ก็ดิ้นไปมาไม่อยู่กับที่ หลายคนต้องเข้าไปจับตัวเอาไว้

อาจารย์โสมทัต สั่งว่า อย่าโยกตะปู ให้ดึงออกตรง ๆ แผลจะได้ไม่เปิดกว้าง แล้วท่านก็เร่งบริกรรมคาถาเพื่อเป็นการช่วยถอนตะปูอาถรรพณ์ออกมาอีกแรงหนึ่ง ขณะที่คนดึงก็หมุนเวียนกันดึงจนเหงื่อท่วมตัวราวกับอาบน้ำ

พักใหญ่ ๆ เจ้าตัวที่ร้ายที่สุดดังว่าก็หลุดออกมา

ทันที่ตะปูออกพ้นฝ่าเท้า ความเจ็บปวดที่สุดจะพรรณนาก็หายวับไปเหมือนหยิบโยนทิ้ง แต่ก็ยังรู้สึกระบมตรงฝ่าเท้าขวา

อาจารย์โสมทัตหยิบตะปูดอกสุดท้ายขึ้นมาพิจารณาด้วยความสนใจอยู่นานทีเดียว เพราะตะปูตัวนี้ยาวเป็นพิเศษประมาณ 3 นิ้วครึ่ง มีสนิมจับเขรอะเกรอะกรัง บ่งบอกถึงความเก่าอย่างน้อยก็หลายสิบปี เมื่อพิจารณาจนถ้วนถี่แล้วท่านก็พูดขึ้นว่า

"อ้ายตัวนี้ร้ายนัก"

จากนั้นก็ลุกไปดูแผลตรงฝ่าเท้าคุณประธานที่ยังคงมีเลือดไหลไม่หยุด ท่านใช้สำลีเช็ดเลือดให้แล้วเอาสำลีอีกก้อนหนึ่งไปชุบน้ำมันมนต์มาปิดตรงปากแผลเลือดก็หยุดในทันที แต่ความรู้สึกเจ็บระบมยังมีอยู่ ทำให้คุณประธานเวลาเดินต้องเดินแบบเขย่ง ๆ เพราะไม่สามารถทิ้งน้ำหนักตัวลงได้เต็มที่ทั้งสองเท้า



ก่อนจะลากลับในค่ำวันนั้น อาจารย์โสมทัตได้สั่งว่า พรุ่งนี้เช้าให้มาหาอีกสักครั้ง จะลองพอกแป้งดูให้ว่ายังมี "ของ" ตกค้างอยู่ในตัวอีกหรือเปล่า หากมีก็จะได้เรียกออกมาให้หมด ซึ่งคุณประธานก็มาตามนัด แต่ไม่ปรากฏว่ามีอะไรออกมาจากร่างกายอีกเลย ทำให้คุณประธานโล่งใจยิ่งนักและใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากไปกว่าเดิม

 ""  โดยเฉพาะเมื่อได้ยินเสียงอะไรผิดปกติ ในตอนกลางคืน. ""




วันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2560

อ.โสมทัต เขมจารี ลองของเกจิดัง เมืองกรุงเก่า

ลองของ!!!

หากเอ่ยชื่อ 3 พระเกจิรูปสำคัญแห่งยุคของพระนครศรีอยุธยา สหธรรมมิกกัน ใกล้ชิดกัน นั่นคือ หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา และหลวงปู่ทิม วัดพระขาว



มีเรื่องเล่ากันมาถึงการลองวิชาจาก 3 พระเกจิ ครั้งหนึ่งหลวงพ่อเมี้ยนได้รับกิจนิมนต์ ท่านไปก่อนเวลา ก็ต้องไปรอหลวงพ่อมี ที่วัดมารวิชัย ครั้งนั้นอาจารย์ฆราวาสชื่อดังท่านหนึ่งอยู่อำเภอเสนา และเป็นอาจารย์สักยันต์ชื่อดัง แก่กล้าอาคม มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ไม่เคยไหว้พระสงฆ์รูปใด

กราบไหว้แต่หลวงพ่อมี รูปเดียว เพราะเคยทดสอบความขลังของหลวงพ่อมี มาแล้ว ท่านชอบลองของ ลองวิชา เป็นชีวิตจิตใจ

อาจารย์ท่านนี้ คือ อ.โสมทัต เขมจารี




ระหว่างที่รอหลวงพ่อมี อ.โสมทัต ก็เดินมาหาหลวงพ่อเมี้ยน แล้วพูดว่า เค้าว่าหลวงพ่อเมี้ยนเก่งใช่ไหม ผมอยากจะลองสักหน่อย เมื่อได้ยินอย่างนั้น หลวงพ่อเมี้ยนล้วงไปในย่าม หยิบพระ ของท่าน แล้วส่งให้ อาจารย์ฆราวาสคนนั้น ก็เดินจากไป

อีก 2 วันถัดมา อ.โสมทัต เดินทางไปหาหลวงพ่อเมี้ยนที่วัดโพธิ์ฯ ขึ้นไปกราบขอขมา บอกว่า หลวงพ่อเก่งสมคำล่ำลือ แล้วเล่าให้ฟังว่า ให้ลูกศิษย์เอาพระ ที่หลวงพ่อเมี้ยน ไปลองยิง ลูกศิษย์กลับมาบอกว่า ยิงไม่ออกสักนัด

ครั้งหนึ่ง อ.โสมทัต เคยนิมนต์หลวงพ่อมี หลวงพ่อเมี้ยน และหลวงปู่ทิม ไปฉันท์อาหารที่บ้าน พอประเคนของหมดแล้ว ก็สั่งให้ทุกคนออกจากบ้านไปให้หมด เหลือเพียง 3 รูป





แล้วก็ปล่อยเสือพยนต์ออกมา หลวงปู่ทิม ก็หันไปหาหลวงพ่อเมี้ยน หลวงพ่อเมี้ยน ก็พลันใช้น้ำมนต์มาปะพรมไปที่เสือพยนต์ เสือเหล่านั้นก็หายไปหมด ท่านจึงศรัทธา หลวงพ่อมี หลวงพ่อเมี้ยน หลวงปู่ทิมมาก ท่านจะเชิญมาทำบุญสำนัก ไหว้ครูทุกปี


นอกจากนี้อ.โสมทัต ยังเคยลองของเป็นประจำ มีครั้งหนึ่งท่าน ลองของ หลวงพ่อมี เคยเสกกรวดร้อน ลองของใส่หลวงพ่อมี แต่หลวงพ่อมี ท่านก็สามารถแก้กลับได้

อ.โสมทัต ท่านเคยบวช อยู่ที่วัดมารวิชัย (วัดเดียวกับ หลวงพ่อมี ) เพราะบ้านเดิม อยู่เสนา แต่ตอนหลัง ท่านร้อนวิชา จึงสึกออกมาเป็นฆราวาส




ท่านได้เรียาวิชามาในสาย หลวงปู่เทพารามทุ่ง หลวงพ่อเขียน วัดบ้านพร้าวนอก พระครูสิงหล   และท่านยังมีโอกาศไปเรียนพระเวทย์กับฤาษี ยังถ้ำเขาวัวเเดง ที่ประเทศลาว ฤาษีตนนี้ชื่อ บรมครูเขมเวทย์โกษาจารเถรเจ้า ( ท่านได้นำครูฤาษี ท่านนี้ มาสร้างเป็นวัตถุมงคล รุ่น 1 ของท่าน จนเกิดประสบการณ์มากมาย สร้างราวปี 2500 ต้นๆ )

รวมไปถึง หลวงตาเถร พระอาจารย์องค์นี้ญาณสูงมาก อ.โสมทัต ไปพบท่านที่เชิงดอยสุเทพ

ตอนไปกราบพระธาตุดอยสุเทพ ขากลับพบหลวงตาเถรนั่งอยู่เชิงดอย หลังจากนั้นท่านเดินทางมานมัสการรอยพระพุทธบาทที่สระบุรีกลับมาเห็นหลวงตาปักกรดอยู่ที่เชิงเขาอีก จึงรู้ว่าได้พบพระอริยเจ้าผู้ทรงอภิญญาแล้ว จึงขอฝากตัวเป็นศิษย์ ตั้งแต่นั้นมา

อ.โสมทัต เขมจารี แก้คุณไสยให้ หมอนักเรียนนอก

#เรื่องราวการแก้คุณไสยนั้นเกิดขึ้นเมื่อ นายแพทย์สำนวน บัวพิมพ์ เป็นหมอใหญ่ที่จบจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นอกจากจะมีความชำนาญในวิชาชีพของท่านคือ การแพทย์รักษาผู้ป่วยแล้ว คุณหมอสำนวนยังเป็น “นักไวโอลิน” มือหนึ่งของประเทศไทยจึงได้รับการขอให้เป็นอาจารย์พิเศษสอนการสีไวโอลินด้วยเทคนิคระดับสูงให้กับกองดุริยางค์ทหารบก และความสามารถของท่านก็ลือลั่นขจรไปทั่วโลก จนที่สุดก็ได้รับเชิญไปแสดงการเดี่ยวไวโอลินถึงประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศสวีเดน ประเทศเดนมาร์ก เป็นต้น

และอาจเพราะความสามารถรอบตัวจนน่าริษยาเช่นนี้เอง จึงเป็นเหตุให้คุณหมอสำนวนได้พบกับ “ศาสตร์” ที่ท่านไม่เคยได้สนใจ ไม่เคยร่ำเรียนมา และที่สำคัญคือ ไม่เคยคิดว่าในชีวิตของท่านต้องมาโดนเข้ากับตัวเองอย่างน่าสยองใจที่สุด

ในปี พ.ศ. 2520 คุณหมอสำนวนเกิดมีอาการมือซ้ายชาและเกร็งแข็งขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน ทำให้ท่านต้องหยุดเล่นไวโอลิน เพราะมือซ้ายต้องเป็นมือที่ใช้กดตัวโน้ต ท่านเพียรพยายามรักษาโดยการให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางตรวจรักษา แต่ทุก ๆ แพทย์ก็ไม่สามารถค้นหาสมุฏฐานของโรคได้ว่าเกิดจากอะไร ? เหตุใดมือซ้ายของคุณหมอสำนวนจึงเกร็งอยู่ตลอดเวลา เมื่อไม่อาจรักษาได้ก็เท่ากับว่าท่านกลายเป็น “ผู้พิการ”ไปโดยปริยาย

เหตุนี้ทำให้ท่านเป็นทุกข์ใจอย่างยิ่ง แม้จะดิ้นรนหาทางรักษาด้วยวิทยาการสมัยใหม่เพียงใดก็ไม่ทำให้เกิดผลดีขึ้นมาให้เป็นที่พอใจเลยแม้สักนิดเดียว

จนวันหนึ่ง มีผู้รู้จักนับถือคนหนึ่งแนะนำคุณหมอสำนวนทำในสิ่งที่ท่านไม่เคยเชื่อถือมาตลอด นั่นคือขอให้ลองไปรักษาในทาง “ไสยศาสตร์”ดูบ้าง โดยให้เหตุผลว่าเมื่อรักษาแบบแผนปัจจุบันวิทยาการสมัยใหม่มามากแล้วยังไม่ดี ก็น่าจะทดลองในทางไสยศาสตร์ดูบ้าง เพราะท่านผู้นี้รู้จักกับอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในทางไสยขาวรับรักษาคนป่วยที่ถูกของต้องมนต์หายขาดมามากต่อมากรายแล้ว อาจารย์ท่านนี้มีชื่อว่า…

“อาจารย์โสมทัต เขมจารี”



อ.โสมทัต เขมจารี สมัยบวชเป็นพระอยู่ที่ วัดมารวิชัย ( วัดเดียวกับหลวงพ่อมี อายุไล่เลี่ยกัน)



แม้คุณหมอสำนวนจะไม่มีความเชื่อถือในเรื่องไสยศาสตร์มนต์ดำเลยแม้นักน้อยหนึ่งในหัวใจ แต่ด้วยความที่จนตรอกหาทางออกไม่ได้แล้ว กอปรกับผู้แนะนำก็เป็นคนที่มีคุณธรรมน้ำใจนับหน้าถือตากันอยู่แล้ว สิ่งที่พูดมาจึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ คุณหมอสำนวนจึงตกลงเดินทางไปพบอาจารย์โสมทัต เขมจารี ที่สำนักของท่านย่านสวนพลู

วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2523 คุณหมอสำนวนและคุณอุบล บัวพิมพ์ ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากรวมทั้งท่านผู้แนะนำให้ไปหาอาจารย์โสมทัตได้พร้อมใจกันเดินทางไปที่สำนักของอาจารย์ เมื่อพบกันและแนะนำทักทายเรียบร้อยแล้ว อาจารย์โสมทัตก็ได้ทำการตรวจดูมือซ้ายของคุณหมอสำนวนด้วยพิธีกรรมเฉพาะของท่าน เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้วท่านก็บอกกับคุณหมอสำนวนว่า สิ่งที่เป็นสาเหตุทำให้มือของท่านมีอาการเช่นนี้ก็คือ “คุณไสย”ส่วนจะเป็นการกระทำใส่คุณหมอสำนวนโดยตรงหรือคุณหมอถูกของแบบ “ลมเพลมพัด”นั้นไม่อาจบอกได

อาจารย์โสมทัตบอกว่าจะรักษาให้ด้วยการเรียก “ของ”ที่แฝงเร้นอยู่ในร่างกายออกมา จากนั้นท่านก็ขอตัวไปทำน้ำมนต์ เมื่อเรียบร้อยก็เรียกให้คุณหมอสำนวนมาอาบน้ำมนต์ ขณะที่อาบน้ำมนต์นั้นอาจารย์โสมทัตได้ร่ายพระเวทย์อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา

ไม่นานนักสิ่งอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เมื่อผิวเนื้อตรงหัวไหล่ด้านซ้ายของคุณหมอสำนวนค่อย ๆ ปูดนูนขึ้น…นูนขึ้น… แล้วตะปูตัวหนึ่งก็ผุดทะลุขึ้นมาจากผิวหนังอย่างไม่น่าเชื่อ อาจารย์โสมทัตหันมาบอกกับคุณอุบลผู้เป็นภรรยาว่า ให้ใช้คีมคีบที่ตะปูแล้วดึงออกมาตรง ๆ ครั้นคุณอุบลออกแรงฉุดดึงตะปูตัวนั้นออกมาได้หมดดอก ก็แลเห็นชัดว่าเป็นตะปูเก่ายาวประมาณ 2 นิ้ว สนิมจับเกรอะกรังไปทั้งดอก ซึ่งความยาวของตะปูตัวดังกล่าวเป็นที่รู้กันว่ามันคือขนาดที่ใช้ตอกฝาโลงศพ !

คุณหมอสำนวนกับภรรยาถึงกับตื่นตะลึง ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองว่าในร่างกายตนสามารถมีตะปูยาวขนาดนั้นเข้าไปฝังอยู่ได้โดยที่ตัวเองไม่ได้ทำ ไม่รู้ไม่เห็นว่าเข้าไปตอนไหนอย่างไร และไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย ขณะที่กำลังตื่นเต้นตื่นตาอยู่นั้น อาจารย์โสมทัตก็กล่าวขึ้นว่าในตัวของคุณหมอสำนวนยังคงมี “ของ”ตกค้างอยู่อีก วันพรุ่งนี้ให้มาใหม่จะทำการเรียก “ของ” ที่เหลือออกมาให้หมดจะได้หายขาด คุณหมอและคณะก็รู้สึกปีติยินดียิ่ง นัดแนะกันแล้วก็กราบลาอาจารย์กลับบ้าน



อ.โสมทัต เขมจารี


วันรุ่งขึ้น เมื่อคุณหมอสำนวนจะเดินทางไปตามนัดนั้น บังเอิญคุณประวัติ โชติกำจร เพื่อนผู้คุ้นเคยกับคุณหมอสำนวนได้ทราบว่าคุณหมอจะเดินทางไปพบอาจารย์โสมทัตเพื่อถอนของ ก็เลยขอติดตามไปชมด้วยคนจากนั้นก็ไปชวนคุณท.เลียงพิบูลย์ให้ไปดูเหตุการณ์ด้วยกัน ซึ่งคุณท.เลียงพิบูลย์ ก็ยินดีไปด้วย

เมื่อไปถึงสำนักของอาจารย์โสมทัต ท่านก็ได้ทำน้ำมนต์อาบให้คุณหมอสำนวนเหมือนเช่นเคย ไม่นานนักก็มีตะปูผุดขึ้นมาที่ไหล่ขวาของคุณหมอ อาจารย์โสมทัตได้บอกให้คุณท.เลียงพิบูลย์ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ให้ช่วยถอนตะปูตัวนั้นออกมา คุณท.เลียงพิบูลย์ ก็รับคำทันทีแล้วตรงเข้าไปใช้มือจับตะปูอย่างแน่นหนามั่นคงแล้วออกแรงดึงเต็มที่ด้วยคิดว่าตะปูคงหลุดออกมาได้โดยง่ายเพราะอยู่กับเนื้อกับหนัง แต่ที่ไหนได้ ตะปูตัวนั้นกลับติดแน่นราวกับตอกยึดไว้กับไม้กระดาน แม้คุณท.เลียงพิบูลย์จะออกแรงดึงสักเท่าไรก็ไม่ขยับเขยื้อนจนที่สุดตัวผู้ดึงเองก็ซวนเซจนแทบหกล้ม

ระหว่างที่ดึงอยู่นั้นคุณหมอสำนวนก็เจ็บปวดจนถึงกับร้องโอดโอย แต่อาจารย์โสมทัตก็บอกกับคุณท.เลียงพิบูลย์ว่าไม่ต้องยั้งมือ พยายามดึงตะปูออกมาให้ได้ ซึ่งคุณท.เลียงพิบูลย์ก็ออกแรงเต็มเหนี่ยวจนกระทั่งหัวตะปูเก่าสนิมกรังนั้นหักคามือ

เมื่อหัวตะปูขาดเหลือแต่ตัวลุ่น ๆ เจ้าตะปูตัวร้ายก็ทำอาการดุจมีชีวิต ด้วยการทำท่าจะมุดกลับเข้าไปในร่างของคุณหมอสำนวน อาจารย์โสมทัตจึงเร่งร่ายพระเวทย์ยับยั้งมิให้ตะปูหลบหายเข้าไปได้ ถึงตอนนี้คุณท.เลียงพิบูลย์ได้ร้องเรียกให้ท่านอธิบดีซึ่งยืนอยู่ใกล้ที่สุดให้ช่วยดึงตะปูตัวนั้นแทนท่านที ท่านอธิบดีก็ตรงเข้าไปดึงตะปูหัวขาดสุดแรงเกิด และในที่สุดมันก็หมดฤทธิ์ยอมหลุดออกมาพ้นหนังของคุณหมอสำนวน พอหันไปดูตำแหน่งที่มันหลุดออกมา ก็พบว่ามีแผลเล็ก ๆ และมีเลือดไหลออกมานิดหน่อย

โดยเฉพาะตะปูตัวสุดท้ายนั้น ได้ผุดขึ้นมาที่กลางศีรษะของคุณหมอและได้ถูกดึงออกโดยมือของคุณอุบล ภรรยาของคุณหมอสำนวนเอง ทุกคนถึงกับตะลึงจังงังว่าตะปูยาว 2 นิ้วแถมยังมีสนิมจับเขรอะ เข้าไปฝังอยู่ในกะโหลกศีรษะ และแทรกอยู่ในเนื้อสมองได้อย่างไรโดยที่เจ้าของร่างกายไม่รู้สึกเจ็บปวด ไม่รู้สึกตัวว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในร่างกาย และที่สำคัญคือไม่เกิดอันตรายจนถึงแก่ชีวิตไปในทันที

นับเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มากที่สุด!!





ในวันนั้น อาจารย์โสมทัตได้ทำการเรียก “ของ”ออกจากร่างกายของคุณหมอสำนวน บัวพิมพ์ จนหมด และในทันทีที่ของชิ้นสุดท้ายหลุดออกมา มือซ้ายของคุณหมอสำนวนที่ใช้การไม่ได้มาตลอด 3 ปี ก็พลันเกิดอาการเบาสบายหายขาดเป็นปลิดทิ้ง สามารถยกแขนเหยียดแขนและหยิบจับสิ่งของต่าง ๆ ได้เป็นปกติ ทำให้คุณหมอดีใจจนน้ำตาคลอเบ้า เพราะตลอด 3 ปีที่ผ่านมาต้องทนทุกข์ทรมานเหมือนคนเป็นอัมพฤกษ์ จะทำกิจอันใดก็ไม่ได้ รวมถึงงานอดิเรกที่โปรดปรานคือการเล่นดนตรีสีไวโอลิน

แม้คุณหมอสำนวนและคณะจะพยายามซักถามถึงพิธีการทำของที่คนปล่อยมาใส่ตน ถามถึงคนที่มุ่งร้ายปล่อยของมา อาจารย์โสมทัตก็ไม่ยอมปริปากบอกอะไร นอกจากพูดว่า “รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์”

แต่นั้นมาคุณหมอสำนวน และคุณอุบล บัวพิมพ์ ก็ให้ความเชื่อถือในเรื่องของ “ศาสตร์”ที่ท่านไม่ได้เรียนและเคยดูแคลนมาตลอด กับทั้งให้ความเคารพในตัวอาจารย์โสมทัต เขมจารี ผู้ให้ชีวิตใหม่เป็นอย่างยิ่งนับแต่นั้นมา





อ.โสมทัต มีสำนักในกทม.ตั้งแต่ปี2510 กว่า นานๆจึงจะกลับอยุธยาเมื่อมีงานไหว้ครู และกลับไปกราบพระอาจารย์ของท่าน ชื่อหลวงตาเถร พระอาจารย์องค์นี้ญาณสูงมาก อ.โสมทัต ไปพบท่านที่เชิงดอยสุเทพ

ตอนไปกราบพระธาตุดอยสุเทพ ขากลับพบหลวงตาเถรนั่งอยู่เชิงดอย หลังจากนั้นท่านเดินทางมานมัสการรอยพระพุทธบาทที่สระบุรีกลับมาเห็นหลวงตาปักกรดอยู่ที่เชิงเขาอีก จึงรู้ว่าได้พบพระอริยเจ้าผู้ทรงอภิญญาแล้ว จึงขอฝากตัวเป็นศิษย์ ตั้งแต่นั้นมา รวมไปถึง 



หลวงปู่เทพารามทุ่ง หลวงพ่อเขียน วัดบ้านพร้าวนอก พระครูสิงหล   และท่านยังมีโอกาศไปเรียนพระเวทย์กับฤาษี ยังถ้ำเขาวัวเเดง ที่ประเทศลาว ฤาษีตนนี้ชื่อ บรมครูเขมเวทย์โกษาจารเถรเจ้า ( ท่านได้นำครูฤาษี ท่านนี้ มาสร้างเป็นวัตถุมงคล รุ่น 1 ของท่าน จนเกิดประสบการณ์มากมาย สร้างราวปี 2500 ต้นๆ )