คุณประธาน ดวงรัตน์
เป็นอดีตนายกสมาคมสภาทนายความแห่งประเทศไทย
มีผลงานมากมายในทางกฎหมายอันเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง
ซึ่งตลอดเวลาที่ท่านทำงานก็ไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสียหรือบาดหมางกับใคร
แต่สาเหตุที่เกิดขึ้นนี้ก็คงไม่ต่างจากที่นายแพทย์สำนวน บัวพิมพ์ ได้เจอ
คือ เกิดจาก "ความริษยา"
เพราะในทันทีที่คุณประธานได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกสมาคมสภาทนายความแห่งประเทศไทย
เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2522
ได้ประมาณ 1 อาทิตย์เท่านั้น
คุณประธานก็เกิดมีอาการปวดช่องท้องทางซ้ายอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ความเจ็บปวดนั้นมิได้มีอยู่แต่เฉพาะตรงช่วงท้อง
หากยังแผ่ขยายขึ้นมาจนถึงหัวใจราวกับมีอะไรมาบีบรัดหรือทิ่มแทงเนื้อหัวใจอยู่ตลอดเวลา
โดยเฉพาะเมื่อขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวหรือเผลอเปลี่ยนแปลงอิริยาบถอย่างกะทันหันก็จะเจ็บปวดสาหัสขึ้นทันที
เมื่อมีอาการมากเข้า คุณประธานก็ไปพบนายแพทย์
ดร.นิพนธ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลกรุงเทพ เพื่อตรวจร่างกายอย่างละเอียด
แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใด ๆ
ทว่าเมื่อคนไข้มีอาการเจ็บปวดหมอก็เลยต้องสั่งจ่ายยารักษาการอักเสบของกล้ามเนื้อมาให้รับประทานแล้วคอยสังเกตอาการกันต่อไป
ต่อมาอาการที่เหมือนมีอะไรมาทิ่มแทงบีบรัดหัวใจได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย
ๆ จนถึงกับทำให้คุณประธานนอนราบลงในท่าต่าง ๆ ไม่ได้เลย
ต้องพักผ่อนด้วยการใช้หมอนลูกใหญ่รองที่หน้าขาแล้วนั่งฟุบหน้าลงกับหมอนเพื่อหลับ
เป็นที่น่าเวทนายิ่งนัก
เหตุการณ์ทรมานเช่นนี้เป็นมาอยู่สักระยะหนึ่ง
ก็มีเพื่อนสนิทมาชวนไปรับประทานอาหารกลางวันด้วยกัน
ขณะที่ทานไปคุยไปนั้นก็วกมาถึงเรื่องที่คุณประธานเจ็บปวดช่องท้องและเสียวแปลบที่หัวใจ
เพื่อนคนนั้นก็แนะนำว่าทำไมไม่ลองไปรักษาในทางไสยศาสตร์ดูบ้างเผื่อว่าจะหาย
ว่าแล้วก็พาคุณประธานไปพบกับอาจารย์ไสยศาสตร์ชื่อดังในทันที ซึ่งก็คือ
"อาจารย์โสมทัต เขมจารี"
ทันทีที่อาจารย์โสมทัตเห็นหน้าคุณประธาน ดวงรัตน์ ท่านก็บอกได้ทันทีว่าคุณประธาน "ถูกของ" เข้าแล้ว มิหนำซ้ำ "ของ" ที่ใครคนนั้นส่งมายังรุนแรงถึงขนาดจะเอาชีวิตกันในเวลาอันสั้น และแรงอย่างที่ป้องกันไม่ให้ใครแก้ได้ ทำให้อาจารย์โสมทัตถึงกับอุทานหลังจากพิจารณาแล้วว่า
"นี่เขาเล่นกันรุนแรงถึงเพียงนี้เชียวหรือ ! ทำไมถึงใจคอโหดร้ายขนาดนี้"
อาจารย์โสมทัตจึงลงมือทำน้ำมนต์ถอนของในทันที แล้วจัดการอาบให้นายกสภาทนายความโดยฉับพลัน เมื่ออาบไปได้เพียงครู่เดียว ก็เกิดสิ่งอัศจรรย์ขึ้น คือมีตะปูตัวหนึ่งผุดทะลุหนังคุณประธานออกมาจากทางสีข้างด้านซ้ายหนึ่งตัว ทว่าอาจารย์โสมทัตก็ยังคงรดน้ำมนต์ต่อเนื่องไปอีก ไม่นานนักตะปูตัวที่สองก็โผล่ออกมาอีก ตลอดเวลาที่ตะปูแทงเนื้อออกมานั้น คุณประธานส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดแบบไม่ต้องอายใคร เพราะมันทรมานเหลือจะพรรณนา ก็ไม่รู้ว่าเพราะเสียงร้องของคุณประธานหรือเพราะเหตุใด อาจารย์โสมทัตได้หยุดอาบน้ำมนต์แล้วสั่งว่าวันพรุ่งนี้ให้มารักษาอีกเพื่อเอา "ของ" ที่เหลืออยู่ออกให้หมดสิ้น
ทว่าวันที่อาจารย์โสมทัตนัดนั้นเป็นวันเสาร์ ซึ่งเป็นวันที่คุณประธาน ดวงรัตน์ มีนัดสำคัญคือการเลี้ยงฉลองที่ได้รับตำแหน่งนายกสมาคมสภาทนายความแห่งประเทศไทย คุณประธานจึงขออนุญาตอาจารย์เลื่อนมาเป็นวันอาทิตย์แทน
ซึ่งอาจารย์โสมทัตก็ตอบตกลงแต่ กำชับว่าให้มาให้ได้และให้มาแต่เช้าตรู่ เพราะผู้ที่ส่งคุณไสยมาเข้าตัวนั้นได้กำหนดวันตายให้คุณประธานไว้แล้วคือ วันพุธที่จะมาถึงนี้ จึงจำเป็นที่จะต้องกำจัดในตัวออกให้หมดก่อนจะถึงวันสั่ง คุณประธาน ได้ยินแล้วก็หัวใจหวิว รีบรับปากอย่างแข็งขันทันที
เมื่อนายกสภาทนายความกลับมาถึงบ้าน ก็พยายามรำลึกความว่าก่อนที่จะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น แก่ตนนั้นตนได้ทำอะไรไปบ้าง นึกอยู่นานก็คิดได้ว่าหลังจากที่ได้รับเลือกให้เป็นนายกสมาคมสภาทนายความฯ ได้ไม่กี่วัน
วันหนึ่งกลับจากทำงานมาก็ถอดสร้อยพระเครื่องออกแขวนไว้แล้วไปอาบน้ำ จากนั้นก็ลืมเรื่องสายสร้อยไปอย่างสนิท จึงมิได้สวมสร้อยห้อยพระอีกเลย ต่อมาประมาณ 2 ทุ่มของวันเดียวกัน คุณประธานจะออกไปสะสางงานที่ค้างไว้ให้เสร็จที่สำนักงานของตนเองซึ่งอยู่ในบริเวณรั้วบ้านเดียวกัน
ขณะที่กำลังก้าวเดินออกไปนั้นก็ได้ยินเสียงวัตถุวิ่งแหวกอากาศมาอย่างรวดเร็วแล้วกระทบเข้ากับหลังคาบ้านซึ่งอยู่เหนือศีรษะพอดีดังเปรี๊ยะ
คุณประธานจึงแหงนขึ้นมองอย่างสงสัยแล้ว เผลอพูดออกไปว่า
"อะไรกันวะ ?"
( คนโบราณห้ามทัก )
เมื่อมองหาสิ่งผิดปกติแล้วไม่พบอะไรก็เลิกให้ความสนใจ ทว่านับตั้งแต่วันนั้นมาก็เกิดอาการผิดปกติขึ้นกับร่างกายดังกล่าว
พอถึงวันอาทิตย์ที่นัดหมายไว้ คุณประธานก็เดินทางมาพบอาจารย์โสมทัตที่สำนักแต่เช้าโดยมีเพื่อน ๆ ที่เป็นทนายความด้วยกันติดตามมาขอดูเหตุการณ์ด้วยอีก 6 คน ในจำนวนนี้มีคุณแฉล้ม ยุวบูรณ์ ภรรยาของ คุณอนันต์ ยุวบูรณ์ มาด้วย
วันนี้ท่าจะเป็นวันสำคัญชี้เป็นชี้ตายจริง ๆ เพราะเห็นอาจารย์โสมทัตตั้งพิธีอย่างยิ่งใหญ่ดูท่าแล้วจะเป็นวาระที่สำคัญมาก เมื่อทุกอย่างพร้อมอาจารย์ก็เอาน้ำมันมนต์มาทาที่ลำตัวด้านซ้ายของคุณประธาน จากนั้นก็ใช้ปูนแดงเสกวงที่สีข้างวงหนึ่ง ที่ด้านหลังวงหนึ่ง และที่หน้าอกอีกวงหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มสาธยายมนตรา
ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง ก็เกิดสิ่งอัศจรรย์ ในวงปูนที่วาดไว้เป็นดวงกลมปรากฏมีหัวตะปูขนาดใหญ่ค่อย ๆ แทงทะลุเนื้อออกมา อาจารย์จึงสั่งให้คนที่อยู่ใกล้ที่สุดจับแล้วดึงออกมาตรง ๆ สร้างความเจ็บปวดให้คุณประธานเป็นอย่างยิ่งเพราะตะปูถูกยึดติดแน่นเหมือนมีแรงดึงดูดลึกลับทำให้ดึงออกมาได้ยากมาก กว่าจะหลุดได้แต่ละตัวเล่นเอาคุณประธานถึงกับเจ็บปวดสาหัส
ซึ่งตะปูดังกล่าวได้โผล่ออกมาในวงปูนเสกที่วาดไว้สามตำแหน่งวงละหนึ่งตัวรวมเป็น 3 ตัว ทั้งทนายความที่มาด้วย ทั้งคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์อย่างตื่นเต้นว่าตะปูยาวขนาดนี้เข้าไปอยู่ในร่างกายได้อย่างไรตั้งสามตัว และออกมาเองได้อย่างไรโดยไม่ต้องผ่าตัด
แต่คงเป็นเพราะความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในระหว่างการถอนของ อาจารย์จึงนัดให้คุณประธานมาทำการรักษาอีกครั้งในวันรุ่งขึ้นซึ่งก็คือ วันจันทร์
วันจันทร์แม้คุณประธานจะมีคดีสำคัญที่ต้องไปว่าความ แต่ก็รีบไปศาลแต่เช้าแล้วแจ้งแก่ศาลว่าตนเองไม่สบายขอผ่อนผันเลื่อนการพิจารณาออกไปวันอื่น ศาลเห็นคุณประธานหน้าตาซีดเซียวราวคนป่วยหนักจึงอนุญาตให้เป็นไปตามที่ขอ จากนั้นคุณประธานก็รีบกลับลงมาเพื่อขึ้นรถ ขณะที่ยืนรอคนขับรถเอารถมารับ ก็ได้พบกับคุณพิสิทธิ์ เทศะบำรุง อธิบดีผู้พิพากษากรมบังคับคดี กับ คุณชาญ แก้วชูสาย อดีตรองหัวหน้าพรรคกิจสังคม ทั้งสองท่านได้แวะทักทายคุณประธาน
เมื่อทราบว่าคุณประธานกำลังจะเดินทางไปที่สำนักของอาจารย์โสมทัตเพื่อรักษาคุณไสย
ทั้งสองท่านจึงขอติดตามไปชมเหตุการณ์ด้วย คุณประธานก็ตกลง เมื่อมาถึงสำนักของอาจารย์แล้วไม่นานนัก
ท่านก็เริ่มทำการรักษาคุณประธานเหมือนเช่นเคย
ซึ่งวันนี้สามารถเรียกตะปูออกมาได้ถึง 6 ตัว ตลอดเวลาที่ประกอบพิธี
คุณชาญและท่านอธิบดีพิสิทธิ์จ้องมองด้วยความตื่นตะลึง นึกไม่ถึงว่าในชีวิตจะได้พานพบเรื่องราวอัศจรรย์ต่อหน้าต่อตาเช่นนี้ อาจารย์โสมทัตจึงบอกว่า
"ใครอยากจะดูหรืออยากจะดึงก็เข้ามาใกล้ ๆ"
ทั้งสองท่านจึงเผ่นผึงเดียวถึงตัวคุณประธาน
ทั้งที่ใจท่านอธิบดีพิสิทธิ์นั้นอยากลองดึงตะปูอาถรรพณ์เป็นกำลัง
แต่เกรงว่าตนเองจะมีกำลังไม่พอจึงบอกให้คนขับรถของคุณประธานเป็นคนดึง
เมื่อคนขับรถซึ่งเป็นหนุ่มฉกรรจ์ออกแรงดึงเต็มที่
ตัวคุณประธานเองก็เซไปตามแรงดึงพร้อมกับร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวดเป็นที่สุด
แต่แทนที่ตะปูจะหลุดตามมือออกมากลับกลายเป็นนิ้วพลขับลื่นหลุดออกจากตะปูเสียเอง ทนายความที่มาด้วยจึงโดดเข้าไปแทนที่แล้วพยายามดึงตะปูสนิมเขรอะนั้นออกมาจนได้
ตัวแล้ว ตัวเล่า กว่าจะดึงออกมาได้แต่ละตัวเล่นเอาคนดึงสะบักสะบอม
เพราะแม้คุณประธานจะเจ็บปวดเพียงใดแต่ทันทีที่ตะปูหลุดออกจากผิวหนังไปแล้วก็เหมือนกับว่ามันเอาความเจ็บปวดทั้งหลายออกไปด้วยกัน
แม้จะได้ตะปูออกมาหลายตัวจนดีใจว่าคงจะหมดแล้ว
แต่อาจารย์โสมทัตก็พูดเสียงเครียดว่า "อ้ายตัวสำคัญตัวสุดท้ายอาคมมันแข็ง
ไม่ยอมออกมาง่าย ๆ แต่มันก็อยู่ไม่ได้ต้องออกมาในวันนี้ตอนพระอาทิตย์ตกดิน" แม้ท่านอธิบดีพิสิทธิ์ เทศะบำรุง และคุณชาญ
แก้วชูสาย จะอยากอยู่ดูช่วงเวลาสำคัญมากเพียงใด
แต่ก็ติดว่ามีธุระสำคัญที่ต้องไปจัดการให้เรียบร้อยก่อนเวลาเย็นจึงไม่อาจอยู่จนถึงนาทีสำคัญได้ต้องกราบลาอาจารย์โสมทัตไปอย่างเสียดาย ต่อมาในเวลา 16.20 น. จู่ ๆ
อาจารย์โสมทัตก็ร้องออกมาว่า
"มันกำลังจะออกมาอีกแล้ว"
คุณเอกวิทย์ ทนายความร่วมสำนักงานเดียวกับได้รีบรุดเข้าไปดูใกล้
ๆ
ก็เห็นด้ายสายสิญจน์อันเป็นด้ายดิบชนิดเดียวกับที่สัปเหร่อใช้มัดตราสังศพแทงทะลุเนื้อคุณประธานออกมาตรงแผ่นหลังด้านซ้ายอย่างไม่น่าเชื่อ
เพราะสายสิญจน์เป็นวัตถุที่นิ่ม และเบามาก ไม่สามารถใช้แทงทะลุวัตถุสิ่งใด ๆ
ได้เลย แต่บัดนี้วิทยาศาสตร์ก็หมดหนทางอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าคุณเอกวิทย์เสียแล้ว
เพราะนอกจากด้ายดิบที่โผล่ออกจากเนื้อมนุษย์ได้ด้วยตัวมันเองแล้ว
มันยังมีอาการเคลื่อนไหวแกว่งไกวช้า ๆ อยู่ไปมาราวกับมันมีชีวิตเป็นของตนเอง
และเมื่อสำแดงภาพสยองได้สักพักมันก็ทำท่าจะมุดกลับลงไปในเนื้อคุณประธาน ถึงตอนนี้อาจารย์โสมทัตก็ร้องสั่งการเสียงดังว่า
"ดึงด้ายออกมาเร็ว ๆ"
แล้วก็เร่งท่องพระเวทรัวเร็วเหมือนจะสะกดด้ายตราสังนั้นให้อยู่กับที่ คุณเอกวิทย์จึงรีบคว้าปลายด้ายเอาไว้แน่นแล้วออกแรงดึงอย่างแรง
ทำให้คุณประธานถึงกับร้องออกมาอย่างโหยหวน พอคุณเอกวิทย์เห็นคุณประธานร้องอย่างนั้นก็อยากให้ความเจ็บปวดยุติลงโดยเร็วจึงออกแรงดึงด้ายอาถรรพณ์นั้นสุดแรงเกิดเป็นผลให้ด้ายสายสิญจน์นั้นถึงกับขาดออกจากกัน แล้วภาพสยองก็ปรากฏขึ้นอีก
เมื่อสายสิญจน์ส่วนที่ขาดซึ่งอยู่นอกเนื้อคุณประธานทำอาการดิ้นกระดุกกระดิกราวกับหางจิ้งจกแล้วทำท่ามุดกลับลงไปในเนื้ออีกครั้ง คุณเอกวิทย์แม้จะรู้สึกตื่นกลัวกับภาพตรงหน้าแต่ก็ยังมีสติที่จะเผ่นเข้าไปคว้าด้ายตราสังส่วนนั้นไว้แน่น
อาจารย์โสมทัต บอก ทนายเอกวิทย์ ว่า ให้ค่อย ๆ ดึง
อย่าดึงแรงอย่างกระชากมันจะขาด เพราะสายสิญจน์มันเปื่อย ถ้าขาดแล้วมันหดหนีกลับเข้าไปในตัวคนป่วยอีก
คราวนี้จะเรียกออกมายากมาก คุณเอกวิทย์ก็เข้าใจแล้วค่อย ๆ ทำตามที่อาจารย์บอก
ในที่สุดก็สามารถดึงด้ายตราสังนั้นออกมาจนหมด
ด้ายทั้งเส้นรวมส่วนที่ขาดติดมือออกมาก่อนหน้านั้นมีความยาวราว 2
เมตรและมีกลิ่นศพเหม็นเน่าอย่างรุนแรงคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ
น่ามหัศจรรย์ที่สุดว่า
ทันทีที่ด้ายตราสังผีตายโหงเส้นนี้หลุดออกจากร่างกายคุณประธาน อาการปวดแปลบ
เจ็บเสียวที่หัวใจเหมือนมีอะไรมาทิ่มแทงบีบรัดมานานก็พลันหายไปเป็นปลิดทิ้ง
รู้สึกถึงความปลอดโปร่งโล่งอก หายใจสบายได้เต็มปอดอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน
แหละแม้คุณประธานจะรู้สึกสบายอย่างนั้น อาจารย์โสมทัตก็ยังบอกว่า
"อ้ายตัวสำคัญยังไม่ออก
แต่มันจะต้องออกในเวลาพระอาทิตย์ตกดินวันนี้แน่"
ครั้นถึงเวลาโพล้เพล้
อาจารย์ก็เรียกคุณประธานให้มาอาบน้ำมนต์อีกครั้ง
พร้อมกับสั่งให้คุณประธานนั่งเหยียดขาออกไปตรง ๆ คุณประธานเป็นคนรูปร่างอ้วนจึงไม่สามารถเหยียดขาได้ตามสั่ง
อาจารย์ต้องเรียกศิษย์สองคนให้มาช่วยกันจับขาดึงให้ตรงจนได้
จากนั้น ท่านก็ใช้พระขรรค์สามเล่มปักลงบนดินข้างตัวผู้ป่วยทั้งด้านซ้าย ด้านขวา
และทางปลายเท้า จากนั้นก็เริ่มอาบน้ำมนต์พร้อมกับร่ายพระเวท
ผ่านไปครู่ใหญ่อาจารย์ก็ขึ้นไปยืนบนม้าหินติด ๆ
กับคุณประธานเพื่อรดน้ำมนต์จากที่สูงมาก ๆ
ลงมาและเร่งบริกรรมภาวนาเสียงดังยิ่งกว่าเดิม
เป็นเวลาพอสมควรกว่าที่ท่านจะกลับลงมายืนที่พื้นแล้วบอกให้ทนายความที่เหลือคอยสังเกตดูตรงฝ่าเท้า
ทุกคนก็กรูเกรียวกันไปดูที่ฝ่าเท้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ไม่ถึงนาที
ทุกคนก็ร้องเอะอะด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นตะปูดอกหนึ่งแทงทะลุออกมาจากฝ่าเท้าขวาของคุณประธาน
อาจารย์ก็สั่งให้ดึงตะปูออก ไม่ว่าใครจะดึงอย่างไร
ก็ไม่น่าเชื่อว่าตะปูตัวเล็กแค่นี้จะติดตรึงอยู่กับฝ่าเท้าราวกับตอกไว้กับต้นสักใหญ่
จะผลัดกันกี่คน ๆ ก็ไม่สำเร็จ และในระหว่างที่ทุกคนพยายามดึงกันสุดแรงอยู่นั้น
คุณประธานก็ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดจนที่สุดทนไม่ได้ก็ดิ้นไปมาไม่อยู่กับที่
หลายคนต้องเข้าไปจับตัวเอาไว้
อาจารย์โสมทัต สั่งว่า อย่าโยกตะปู ให้ดึงออกตรง
ๆ แผลจะได้ไม่เปิดกว้าง แล้วท่านก็เร่งบริกรรมคาถาเพื่อเป็นการช่วยถอนตะปูอาถรรพณ์ออกมาอีกแรงหนึ่ง
ขณะที่คนดึงก็หมุนเวียนกันดึงจนเหงื่อท่วมตัวราวกับอาบน้ำ
พักใหญ่ ๆ
เจ้าตัวที่ร้ายที่สุดดังว่าก็หลุดออกมา
ทันที่ตะปูออกพ้นฝ่าเท้า
ความเจ็บปวดที่สุดจะพรรณนาก็หายวับไปเหมือนหยิบโยนทิ้ง
แต่ก็ยังรู้สึกระบมตรงฝ่าเท้าขวา
อาจารย์โสมทัตหยิบตะปูดอกสุดท้ายขึ้นมาพิจารณาด้วยความสนใจอยู่นานทีเดียว
เพราะตะปูตัวนี้ยาวเป็นพิเศษประมาณ 3 นิ้วครึ่ง มีสนิมจับเขรอะเกรอะกรัง
บ่งบอกถึงความเก่าอย่างน้อยก็หลายสิบปี เมื่อพิจารณาจนถ้วนถี่แล้วท่านก็พูดขึ้นว่า
"อ้ายตัวนี้ร้ายนัก"
จากนั้นก็ลุกไปดูแผลตรงฝ่าเท้าคุณประธานที่ยังคงมีเลือดไหลไม่หยุด
ท่านใช้สำลีเช็ดเลือดให้แล้วเอาสำลีอีกก้อนหนึ่งไปชุบน้ำมันมนต์มาปิดตรงปากแผลเลือดก็หยุดในทันที
แต่ความรู้สึกเจ็บระบมยังมีอยู่ ทำให้คุณประธานเวลาเดินต้องเดินแบบเขย่ง ๆ
เพราะไม่สามารถทิ้งน้ำหนักตัวลงได้เต็มที่ทั้งสองเท้า
ก่อนจะลากลับในค่ำวันนั้น
อาจารย์โสมทัตได้สั่งว่า พรุ่งนี้เช้าให้มาหาอีกสักครั้ง จะลองพอกแป้งดูให้ว่ายังมี
"ของ" ตกค้างอยู่ในตัวอีกหรือเปล่า หากมีก็จะได้เรียกออกมาให้หมด
ซึ่งคุณประธานก็มาตามนัด แต่ไม่ปรากฏว่ามีอะไรออกมาจากร่างกายอีกเลย ทำให้คุณประธานโล่งใจยิ่งนักและใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากไปกว่าเดิม
"" โดยเฉพาะเมื่อได้ยินเสียงอะไรผิดปกติ ในตอนกลางคืน. ""
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น